Skip to content

ดวงตะวันบนผืนผ้าใบนั้นกำลังคืบคลานเข้ามา รีวิวละครเกาหลี Mr. Sunshine

(เปิดเผยเนื้อหาบางส่วน หาชมได้ใน Netflix) 

 

Gun / Glory/ Sad Ending / Love คือ ชุดคำภาษาอังกฤษที่โก แอชิน ตัวเอกของเรื่องเรียนเป็นคำแรกๆ 4 คำนี้เป็นลางบอกเหตุพอๆ กับที่เป็นคำสรุปเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นใน Mr. Sunshine

“Korean likes Japanese but hate Japan.” เป็นประโยคที่อดีตเพื่อนชายชาวเกาหลีของฉันเคยบอกเมื่อหลายปีที่แล้ว แต่ฉันยังคงจดจำได้ถึงทุกวันนี้ เมื่อครั้งแรกฟังด้วยความไร้เดียงสาต่อประวัติศาสตร์ฉันไม่เคยรู้เลยว่าทำไม จนมากระจ่างเมื่อได้มาดู Mr. Sunshine จบลง

Mr. Sunshine เปิดฉากขึ้นในโชซอน (เกาหลี) ปลายปี 1800s ก่อนก้าวขึ้นศตวรรษใหม่ ในยุคที่ชนชั้นเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เรื่องดำเนินวนเวียนรอบ 5 ตัวละครหลักที่ตั้งคำถามกับความเป็นชาติได้ลึกระดับจิตใจมนุษย์

โดยหยาบๆ ละครเรื่องนี้แบ่งออกเป็น 2 ช่วงที่ต่อเนื่องกัน ช่วงแรกคือการแก้แค้น ความรัก และการค้นหาตัวตนของตัวละครต่างๆ ส่วนช่วงที่สองคือช่วงตั้งแต่ญี่ปุ่นเริ่มล่าอาณานิคมจนถึงยุคที่ทำสำเร็จ 

เด็กน้อยคนหนึ่งแบกฟืนขึ้นหลังแหงนหน้ามองฟ้าเห็นนกสีดำบินผ่าน พาลสงสัยว่า “นกสีดำเพียงตัวเดียวทำลายทิวทัศน์ของทั้งท้องฟ้าได้อย่างไร” ชายแก่ชนชั้นสูงที่บังเอิญเจอกันบอกว่า “ทาสควรจะมองต่ำเข้าไว้ ถ้าหากทาสมองสูงเกินไป พวกเขามักจะตายเร็ว” นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้พบกับชเว ยูจิน (최유진) วัยเด็ก ยูจินต้องเผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้าย เมื่อถูกชนชั้นสูงกระทำจนตัวเองสูญเสียทั้งพ่อและแม่ ต้องหนีตายไปอยู่อเมริกากับมิสชันนารี เด็กหน้าเอเชียในอเมริกาค้นพบว่าวิธีที่จะสร้างตัวตนใหม่ให้กับตัวเองได้คือการเป็นทหาร ยูจินกลายเป็น Eugene Choi ชายสัญชาติอเมริกัน กัปตันกองทัพเรือแห่งสหรัฐ หลังจากสิ้นสุด American-Spanish War เขากำลังจะถูกส่งกลับมาโชซอนเพื่อดูลาดเลาการล่าอาณานิคม พร้อมต้องทำภารกิจบางอย่างซึ่งถ้าหากทำสำเร็จความดีความชอบก็จะเป็นของอเมริกา ในขณะที่ถ้าหากเขาล้มเหลวความผิดทั้งหมดจะตกแก่โชซอน

เขาถูกชาติเลือกใช้อย่างจงใจ เพราะด้วยความเป็นคนสองชาติของเขา เขาจะถูกผลักไปอยู่ชาติไหนก็ได้เมื่อจำเป็น แต่ยูจินเองก็ไม่ได้เป็นฝ่ายถูกชาติใช้ตามใจชอบเพียงฝ่ายเดียว เมื่อมีโอกาสเขาก็หยิบผลประโยชน์จากความเป็นโชซอนและความเป็นอเมริกันสลับไปมาเพื่อให้ตัวเองได้สิ่งที่ต้องการ

ยูจินตกหลุมรักกับ โกแอชิน (Go Aeshin – 고애신) หลานสาวของอดีตพระอาจารย์พระราชาแห่งโชซอน โกแอชินซึ่งทั้งตัวและหัวใจนิยามตัวเองด้วยความเป็นโชซอน เธอเดินตามรอยพ่อแม่อดีตนักปฏิวัติที่ถูกสังหาร แล้วเข้าร่วมกระบวนการ The Righteous Armies ของโชซอนเพื่อปกป้องโชซอน แต่ความรักที่โกแอชินมีต่อชาติก็เปลี่ยนไปตามมิติ ในช่วงแรกโก แอชินรักชาติอย่างไร้เดียงสา เธอไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าชาติที่เธอรักโหดร้ายกับทาส คนขายเนื้อ หรือชนชั้นต่ำอื่นๆ อย่างไร 

ในฉากกลางธารน้ำแข็ง ยูจินถามว่าชาติที่แอชินต้องการจะปกป้องนั่นคือใคร ชาติที่ทอดทิ้งคนของตัวเอง หรือ ชาติของชนชั้นสูงที่แอชินอยู่มาอย่างสุขสบาย 

แต่ต่อมาความรักชาติของแอชินก็เริ่มขยายปริมณฑล ความรักชาติของเธอคือการเห็นคนโชซอนโดนคนญี่ปุ่นทำร้ายอย่างทารุณและฆ่าอย่างเลือดเย็น ความรักชาติของแอชินจึงกลายเป็นการปกป้องโชซอนเพื่อให้รอดจากญี่ปุ่น โดยไม่ได้สนว่าถ้าหากทำได้มันจะกลับไปอยู่ในมือชนชั้นสูงอย่างที่เป็นมาหรือคืนกลับให้กับใคร

กูดงแม (Gu Dongmae – 구동매) ถูกคนในชาติตัวเองปฏิเสธอย่างเลือดเย็น เพราะเกิดมาเป็นลูกของคนขายเนื้อ คนขายเนื้อนั้นมีสถานะต่ำที่สุดในสังคม เดินตามถนนคนก็ถมน้ำลายใส่ แม่เขาต้องสละชีวิตตัวเองเพื่อให้เขาหนีไปมีชีวิตใหม่ ระหว่างที่หนีตายเขาได้พบกับโกแอชิน ซึ่งช่วยชีวิตกูดงแมโดยที่กูดงแมไม่ได้ขอ ทำให้เขาผูกใจกับโกแอชิน หลงรักโกแอชินในวิถีของตัวเอง เขาหนีไปอยู่ญี่ปุ่นจนได้สัญชาติกลายเป็นยากูซ่าญี่ปุ่น ก่อนที่จะกลับมาคุมพื้นที่ในโชซอน ญี่ปุ่นเหยียดหยามว่าเขาไม่ใช่โชซอน ส่วนคนโชซอนก็รังเกียจ เขาต้องสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ด้วยดาบซามูไรและความตื่นกลัวของผู้คน

คิมฮีซอน (Kim Heeseol – 김희선) คือ ลูกชายชนชั้นสูงที่หนีไปญี่ปุ่น 10 ปีไม่ยอมกลับบ้านของตนเอง เขาเลือกใช้ชีวิตเสเพล ไม่ยอมทำอะไรทั้งสิ้นด้วยความกลัวเพียงหนึ่งเดียว เพราะครอบครัวของเขามีอำนาจและยิ่งใหญ่มากเกินไป เขาแบกรับความรู้สึกว่าตัวเองเป็นผลผลิตของสิ่งเลวร้ายที่ปู่และพ่อทำมาในอดีตไว้หนักอึ้งบนบ่า หากเขาลงมือทำอะไรสักอย่าง เขากลัวว่ามันจะส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ เขาหมั้นหมายกับโกแอชินตั้งแต่เด็ก แต่ก็เลื่อนการแต่งงานมาตลอด จนกระทั่งกลับมาโชซอนแล้วมาพบโกแอชินจึงได้รู้ว่าตัวเองทำพลาดไปเสียแล้ว เพราะเขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น

คุโดะ ฮานะ (Kudo Hana) ม่ายสาวเจ้าของโรงแรม Glory Hotel ชื่อในอดีตของเธอคือ อียังฮวา (이양화) เธอถูกพ่อบังคับให้แต่งงานกับคนญี่ปุ่นจนได้ทรัพย์สมบัติมาเป็นโรงแรมแห่งนี้ เธอรับชื่อใหม่ที่เป็นญี่ปุ่นเข้ามาใช้กับตัวอย่างไม่ขัดเขิน ในเรื่อง คุโดะ ฮานะดูจะเป็นคนที่ขัดแย้งกับความเป็นชาติน้อยที่สุด จะเป็นชาติอะไรก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่เธอสามารถใช้มันเพื่อผลประโยชน์บางประการได้

 

สุดท้ายยูจินก็เป็นตัวละครที่ชาติไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าการเอามาใช้นิยามตัวเองในเฉพาะตอนที่เหมาะสม ยูจินไม่ได้รักชาติ แต่แอชินผู้หญิงที่ยูจินรัก ยูจินจึงรักชาติในฐานะ passion ของสาวที่เขารัก แต่เขาไม่ได้รักชาติที่ความเป็นชาติเลย

 

เมื่อดำเนินไปครึ่งเรื่อง ละครก็เคลื่อนจากการแก้แค้นเข้าสู่บรรยากาศอาณานิคมที่ก่อนหน้าเป็นเพียงแค่ฉากหลัง ละครทุกตัวกำลังจะต้องเผชิญกับทางเลือกและสภาพสังคมที่บีบบังคับจะต้องให้ตัดสินใจ

 

อาจกล่าวได้ว่า Mr. Sunshine เป็นละครชาตินิยม แต่มันไม่ชาตินิยมอย่างไม่ลืมหูลืมตา อาจจะมีความโรแมนติกของชาตินิยมอยู่บ้าง แต่มันก็ตั้งคำถามมากมายเหลือเกินว่าชาติที่ตัวละครบางตัวในเรื่องรักนักรักหนานี้สุดท้ายเป็นของใคร และเคยทอดทิ้งคนในชาติไว้เช่นไรบ้าง แถม Mr. Sunshine ยังเป็นละครที่เล่าเรื่องการล่าอาณานิคมได้อย่างเจ็บปวด

 

ความสะเทือนใจสูงสุดของฉันเห็นจะเป็น การเผลอผูกพันกับตัวละครที่เรารู้ว่ายังไงก็ต้องเผชิญชะตากรรมอันโหดร้าย เพราะตามประวัติศาสตร์โชซอนหรือเกาหลีถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งอย่างเป็นทางการตามสนธิสัญญาเกาหลี-ญี่ปุ่นในปี 1910 จะให้ละครเปลี่ยนประวัติศาสตร์ก็คงทำไม่ได้ ดังนั้นช่วงตอนท้ายๆ ของเรื่องจึงเป็นความปวดใจที่ต้องภาวนาขอให้ความพ่ายแพ้นั้นไม่ปวดร้าวใจจนเกินไป

หนึ่งในฉากที่สะเทือนใจที่สุดคือ ณ ช่วงพีคสุดของการแผ่อำนาจของจักรวรรดิญี่ปุ่น เมื่อกษัตริย์โชซอนขอให้ล่ามอ่านหนังสือพิมพ์ข่าวหน้าหนึ่งของอเมริกาให้ฟัง ล่ามก็อ่านข่าวโมเดลรถฟอร์ดรุ่นใหม่ที่เป็นข่าวใหญ่สุด กษัตริย์โชซอนถามว่านี่นะหรือข่าวใหญ่ที่สุด ไม่มีข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศเล็กๆ อย่างเราบ้างหรือ ล่ามได้แต่ส่ายหน้าบอกไม่มี

หลายครั้งที่ตัวละครถามว่าทำไมมหาอำนาจใหญ่ๆ ไม่ช่วยโชซอน คำตอบที่ได้คือ ชาติมหาอำนาจเช่นอังกฤษและอเมริกาเป็นเจ้าหนี้ของญี่ปุ่นที่ช่วยให้ญี่ปุ่นมีเงินไปทำสงครามกับรัสเซีย ถ้าเกิดญี่ปุ่นแพ้รัสเซีย เงินก็เป็นศูนย์ ดังนั้นประเทศเล็กๆ ไร้อำนาจต่อกรอย่างโชซอนจึงได้แต่ยอมรับชะตากรรมว่าตัวเองเป็นเพียงแค่รางวัลของญี่ปุ่นหากชนะสงครามรัสเซีย 

ละครเรื่องนี้ทำให้ฉันสับสนส่วนตัว จากคนที่โตมามีประสบการณ์ไม่ค่อยดีนักกับชาตินิยม เพราะคนในชาติ (ของเรา) ดูจะนิยมชาติ เพื่อเอาไปใช้กล่าวร้ายคนอื่นที่เพียงไม่เห็นด้วยกับตัว  แต่ตัวละครในเรื่องแม้จะรักชาติและเกลียดคนขายชาติ แต่คนขายชาติในเรื่องก็นำมาซึ่งความเดือดร้อนแสนสาหัสแก่คนในชาติจริงๆ (ซึ่งคนที่ถูกตราหน้าว่าขายชาติเหล่านี้ก็อาจจะทำไปเพราะความกลัวอำนาจญี่ปุ่นเช่นกัน แต่ละครเรื่องนี้ไม่ได้แสดงแบบนั้น ดูจะเป็นความเห็นแก่ตัวและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนล้วนๆ) ดังนั้นความชาตินิยมที่ต้องการปกป้องคนที่ไร้อำนาจจึงอาจจะมีอยู่จริงๆ ทำให้ที่สุดแล้วแม้แต่ความชาตินิยมก็ต้องดูไปตามบริบทเช่นกัน 

แต่ถึงกระนั้น สุดท้ายแล้วความขัดแย้งแบบรัฐชาติสมัยใหม่จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน? ขนาดฉันไม่ใช่คนเกาหลี (แต่เคยอาศัยอยู่เกาหลี) ยังมีวูบที่ระหว่างดูละครแล้วเกลียดคนญี่ปุ่นแบบเป็นเดือดเป็นแค้น จนต้องดึงสติกลับมาว่านี่เป็นแค่เรื่องแต่ง ไม่ได้ตรงตามข้อเท็จจริงตามประวัติศาสตร์ 100% และแยกแยะความรู้สึกว่าความเกลียดนั้นเกิดกับคาแรกเตอร์ตัวละครรายตัวไม่ใช่ความเป็นญี่ปุ่นทั้งหมด ถ้าละครมันทำหน้าที่ของมันขนาดนี้ คนเกาหลีที่ดูจะรู้สึกขนาดไหน? ขนาดตัวละครอย่างกูดงแม ยังถูกด่าว่าเป็นฝ่ายสนับสนุนญี่ปุ่น (pro-Japanese) จนคนสร้างละครต้องขึ้นคำโปรยตอนละครเริ่มว่า ตัวละครบางตัวเป็นตัวละครสมมุติ และเปลี่ยนเรื่องบางส่วน

 

เส้นบางๆ ที่แบ่งระหว่างการเล่าประวัติศาสตร์อันโหดร้ายที่ยังไม่ถูกเล่าจนทุกคนจดจำได้หรือถูก popularized กับ การสร้างความเกลียดชังระหว่างชาตินั้นอยู่ตรงไหน?

 

เกาหลีกำลังเป็นผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำทางวัฒนธรรมคนใหม่ในเวทีโลก ทำให้มีกำลัง มีศักยภาพมากพอในการที่จะเริ่มเล่าอดีตที่ถูกย่ำยีของตนเอง แถมเล่าออกมาได้อย่างสนุก มีองค์ประกอบศีล สวยงาม มีความซับซ้อนทางอารมณ์ คำถามที่น่าคิดก็อาจจะเป็น เราสามารถเสพย์ละครเรื่องนี้โดยไม่ติดบ่วงการสร้างให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศคู่แค้นเชิงสัญลักษณ์แบบพม่ารามัญที่ริอาจมาตีกรุงศรีอยุธยาที่คนไทยบางส่วนนึกทีไรก็จะต้องโกรธขึ้นสมองได้หรือไม่

อาจจะทำได้หากในเรื่องมีการใส่ตัวละครญี่ปุ่นที่ไม่ได้สนับสนุนการล่าอาณานิคมของชาติตัวเองเข้ามาเพียงเล็กน้อย ซึ่งจริงๆ มีอดีตผู้ช่วยผู้เฒ่าที่ทำดินเผา ที่เป็นคนญี่ปุ่นแต่เห็นความเป็นคนสำคัญกว่าจึงให้การช่วยเหลือคนโชซอน แต่ก็ไม่ได้กล้าต่อต้านญี่ปุ่นโดยตรง แต่ขนาดตัวละครที่ช่วยเหลือโชซอนสุดหัวใจแบบกูดงแมยังโดนด่าว่าเป็นพวกสนับสนุนญี่ปุ่น ตัวละครที่ใส่มาคงจะต้องโดนคนในชาติเกาหลีเกลียดอย่างไม่ลืมหูลืมตา รวมทั้งผู้กำกับและคนเขียนก็คงจะโดนคนในชาติเกลียดชังเช่นกัน

 

เราจะสามารถเสพย์ละครกึ่งชาตินิยมนี้ โดยเข้าใจว่าชาติเป็นเพียงชุมชนในจินตนาการได้หรือไม่ ว่าเส้นแบ่งระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่นมันเป็นเส้นแบ่งในสมอง ไม่ใช่เส้นแบ่งที่อยู่บนผืนดินจริงๆ 

 

แต่ด้วยอารมณ์มนุษย์ ความตะขิดตะขวงใจก็ยังคงบังเกิด แล้วเราจะทำความเข้าใจกับความโหดร้ายของญี่ปุ่นในตอนนั้นว่าอย่างไร ฉันถึงขนาดพยายามไปศึกษาว่าญี่ปุ่นไม่น่าโหดร้ายขนาดนั้น แต่สิ่งที่เจอ (เท่า ณ ตอนที่เขียน) ยังยืนยันแถมยังนักหน่วงกว่าสิ่งที่ปรากฏในละครเสียอีก ญี่ปุ่นโหดร้ายกับเกาหลีราวกับคนเกาหลีไม่ใช่คน1 ในช่วง 10 ปีแรกที่ยึดใช้กองกำลังทางทหารอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พอ 20 ปีต่อมาอยากให้คนเกาหลีมีปากมีเสียงขึ้นก็ทำให้เขากลายเป็นพลเมืองชั้นสองแทน บังคับให้โรงเรียนเลิกสอนภาษาเกาหลีแล้วสอนญี่ปุ่น บังคับให้คนเกาหลีเปลี่ยนชื่อเป็นญี่ปุ่น หากใครไม่เปลี่ยนจะไม่ได้รับการอำนวยความสะดวกจากราชการ ยังไม่นำผู้หญิงเกาหลีจำนวนเป็นแสนที่ถูกบังคับให้เป็น “comfort women” คำเลี่ยงของผู้หญิงที่เอาไว้บริการทางเพศทหารญี่ปุ่นที่ล้าจากสงคราม2

ปัจจุบันกษัตริย์ญี่ปุ่นออกมาขอโทษขอโพยปีแล้วปีเล่าถึงความโหดร้ายในอดีตที่ชาติตัวเองทำกับเกาหลีในสมัยแผ่จักรวรรดิ คำขอโทษนั้นอาจจะมีน้ำหนักกับคนเกาหลีมากขึ้นหากนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นยอมขอโทษเช่นกัน3 และหากคนญี่ปุ่นถูกบังคับให้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ด้านมืดของตัวเองในหลักสูตรโรงเรียนแบบเดียวกับที่เยอรมันเรียนรู้เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ถึงวันนั้นถ้าหากเวลาผ่าน คนเกาหลีโศกเศร้าและเจ็บแค้นน้อยลง สองประเทศก็อาจจะไปไกลกว่าอุดมการณ์แบบรัฐชาติได้ 

ตอนอาศัยอยู่เกาหลีคนเกาหลีมักชอบบอกฉันว่ารู้สึกสงสารชาติตัวเอง ด้วยความไร้เดียงสาเช่นเดิมจึงไม่เข้าใจและหงุดหงิด รู้สึกชาติไหนก็น่าสงสารทั้งนั้น แต่มาถึงตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมคนเกาหลีรู้สึกเช่นนั้น เมื่อ 45 ปีแรกของศตวรรษเริ่มด้วยการเป็นอาณานิคมจบลงด้วยสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังไม่ทันจะได้ใช้ชีวิตอยู่เป็นชาติแบบดีๆ ก็โดนสงครามเย็นตัดแบ่งประเทศที่องศา 37 เสียก่อน มาถึงตอนนี้พอจะเข้าใจความสงสารชาติตัวเองของคนเกาหลีได้ เพราะความเศร้ามันถูกส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่นสู่รุ่น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สิ้นสุดลง

Mr. Sunshine คงช่วยบรรเทาความเก็บกดมาเนิ่นนานที่อยู่ในใจคนเกาหลีพอๆ กับที่มันอาจจะเป็นดาบสองคมในการสร้างภาพเหมารวมระลอกใหม่ แต่มันช่างทำอย่างละเมียดและแยบยลเหลือเกิน มีทั้งเรื่องราวความรัก ทั้งอารมณ์ขัน ทั้ง bromance บทที่สนุกอย่างร้ายกาจ เรื่องที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วด้วยรายละเอียดมหาศาล พร้อมการกำกับและการแสดงที่กินใจ เพลงไพเราะ และโปรดัคชั่นที่สวยงามถูกใจคนได้ไม่ยาก สำหรับเรานี่จึงเป็นซีรีย์ที่ควรค่าแก่การดูมากๆ แต่อย่าเผลอคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด4 ที่สำคัญแม้จะเสพย์ง่ายเสพย์เพลินแต่มันก็ตั้งคำถาม ให้คำตอบ ตั้งคำถามใหม่ไม่รู้จบ ซึ่งบางคำตอบก็ไม่ได้สามารถตอบได้ง่ายๆ  

 

รูปของกระบวนการ The Righteous Armies ในหนังกับภาพในความเป็นจริง บันทึกโดยนักหนังสือพิมพ์ชาวอังกฤษ Frederick McKenzie

แหล่งที่มา: http://koreajoongangdaily.joins.com/news/article/article.aspx?aid=3054233

 

 

1 https://en.wikipedia.org/wiki/Korea_under_Japanese_rule

2 https://www.vox.com/2015/12/29/10682830/comfort-women-japan-survivors

3 https://www.csmonitor.com/World/Asia-Pacific/2015/0815/Japan-s-emperor-unlike-Prime-Minister-Abe-apologizes-for-WWII

4 http://koreajoongangdaily.joins.com/news/article/article.aspx?aid=3054233

 

รูปมาจาก https://dramaswithasideofkimchi.com/2018/06/29/hello-mr-sunshine-new-trailer/

 

 

 

เกี่ยวกับผู้เขียน

B516f925 D9d5 48b9 A4d9 146b7b7b1fbd

สุดคนึงเป็นคนชอบคิด เลยคิดไปเรื่อยๆ มีคดิประจำใจว่าชอบอะไรจะไม่เก็บไว้คนเดียว เลยต้องมาเผยแพร่ให้คนอื่นฟังเพื่อหาพวกมาชอบด้วยกัน

Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Inline Feedbacks
ดูทั้งหมด

เรื่องที่คล้ายกัน