โดย Leslie E. Sponsel
I. เกริ่นนำ
Avatar (2009) เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีเค้าโครงการบรรยายเชิงนิยายวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีใครคาดถึง ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ชมทั่วฌลกเป็นอย่างดี จนสามารถสร้างรายได้อย่างถล่มทลายราว 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกทั้งยังถูกแพร่กระจายออกไปในรูปแบบหนังสือ วีดีโอเกมส์ การ์ตูน และอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก
มีผู้ชมจากหลากหลายช่วงวัยแสดงความรู้สึกตอบสนองต่อเนื้อเรื่องที่ปรากฎ ด้วยการแสดงอาการเศร้า-หดหู่และเสียน้ำตา กระทั่งคนบางกลุ่มถึงขนาดตัดสินใจฆ่าตัวตาย คำถามก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้กำลังบอกอะไรเรา?
II. เรื่องย่อ
บทความเรื่อง Avatar, Opening Pandora’s Box, James Cameron ของ Leslie E. Sponsel กล่าวว่า Avatar ถือเป็นภาพยนตร์ในฐานะสื่อความบันเทิงที่มีคุณค่า เป็นเรื่องราวที่ประกอบไปด้วยแง่มุมความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความหวัง และการต่อสู้ระหว่างความดีและสิ่งชั่วร้าย เป็นเรื่องราวเริ่มต้นจากการที่ทีมนักวิทยาศาสตร์สร้างอวตารจากรหัสพันธุกรรมของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งในฐานะเป็นผู้ควบคุมตัวอวตาร เข้ากับรหัสพันธุกรรมของชาวนาวี่ เพื่อเข้าไปสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาวี่

แต่แล้วนักวิทยาศาสตร์คนดังกล่าวกลับต้องประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และด้วยการจัดทำอวตารในแต่ละครั้งจำต้องใช้ค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเงินมหาศาล ทีมนักวิทยาศาสตร์จึงยื่นข้อเสนอให้กับน้องชายของนักวิทยาศาสตร์ผู้ล่วงลับนั้นก็คือ Jake Sully อดีตนาวิกโยธินผู้เป็นอัมพาตเข้ามาเป็นอวตารแทน สาเหตุที่ต้องเป็น Jake ก็เพราะเขาเป็นผู้ที่มีรหัสพันธุกรรมใกล้เคียงกับพี่ชายของเขามากที่สุด พร้อมยื่นข้อเสนอว่าหาก Jake ยอมขับอวตารแทนที่ชายของเขา ทางทีมฯ จะให้เงินจำนวนหนึ่งแก่ Jake เพื่อนำไปรักษาขาที่เป็นอัมพาต
ไม่ช้า Jake ก็ได้เดินทางไปยังดาวดวงที่มีชื่อว่าแพนโดรา (Pandora) พร้อมกับเหล่านักวิทยาศาสตร์และทหารรับจ้างที่ได้รับการจ้างงานจากบริษัทเอกชน โดยภาระงานแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
(1) ทีมนักวิทยาศาสตร์จะเข้าไปศึกษาระบบนิเวศของพื้นที่ การดำเนินชีวิตของชาวนาวี และการเข้าไปให้การศึกษา เช่น สอนภาษา ตั้งโรงเรียนสอนทักษะทั่วไป โดยการเข้าไปศึกษาความเป็นอยู่ของชาวนาวี่นั้น นักวิทยาศาสตร์จะต้องใช้ร่างอวตาร เพื่อให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับชาวนาวี่ในฐานะที่เป็นชาวพื้นเมือง ดังนั้น สถานภาพของนักวิทยาศาสตร์ทีมนี้ จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นนักมานุษยวิทยาไปในคราวเดียวกัน สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ค้นพบก็คือ ชาวนาวี่ พันธุ์พืช และสัตว์ทั้งหมดที่ปรากฎบนดวงดาวดวงนี้ มีความความสัมพันธ์เชื่อมต่อกันทั้งทางชีวภาพและจิตวิญญาณในลักษณะเครือข่าย มีระบบการทำงานคล้ายกับสมองของมนุษย์
และ (2) เหล่าทหารรับจ้าง ทำหน้าที่เป็นหน่วยคุ้มกันการทำเหมือง เนื่องจากลักษณะทางชีวภาพของพืชและสัตว์บนดวงดาวแห่งนี้ไม่ปลอดภัยต่อมนุษย์ และช่วยป้องกันภัยจากชาวพื้นเมืองให้แก่ทีมนักวิทยาศาสตร์ด้วย สาเหตุเพราะชาวพื้นเมืองก็ไม่ค่อยพอใจการเข้ามาของเหล่ามนุษย์สักเท่าไหร่นัก

บริษัทต้นสังกัดต้องการผลกำไรที่เพิ่มมากขึ้น หลังจากมีการดำเนินการขุดค้นแหล่งแร่อันออฟเทนเนียม (Unobtainium) ที่แพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ดวงดาวแล้วในจำนวนหนึ่ง ส่งผลให้ทีมนักวิทยาศาตร์และเหล่าทหารรับจ้างจำต้องดำเนินการสำรวจพื้นที่มากขึ้น กระทั่งพบว่า แหล่งแร่อันออฟเทนเนียม ขนาดมหึมาตั้งอยู่ภายใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่อันเป็นถิ่นอาศัยหลักของชาวนาวี่ชนเผ่าหนึ่งราว 200 ครอบครัว

ชนเผ่านี้จะมีผู้ชายคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชนเผ่าดูแลการเป็นอยู่ของสมาชิกชนเผ่า และผู้หญิงทำหน้าที่เป็นผู้นำทางจิตวิญาณ ทั้งหัวหน้าเผ่าและผู้นำทางจิตวิญญาณเป็นพ่อแม่ของหญิงสาวชาวนาวี่คนหนึ่งที่ชื่อว่า Neytiri ซึ่งได้รับการหมายตัวไว้ว่าจะขึ้นเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณคนต่อไปคู่กับชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ได้รับการหมายตัวเช่นกันว่าจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าคนต่อไป

หลังจากที่ Jake ได้อวตารจนมีลักษณะทางกายภาพเช่นเดียวชาวนาวี่ที่มีส่วนสูงประมาณ 10 ฟุต ผิวพรรณสีฟ้า รูปร่างคล้ายแมว มีตาสีเหลือง หูตั้ง และหางยาว ซึ่งเป็นการนำแนวคิดรูปแบบตัวละครมาจากเรื่องการอวตารตามคติฮินดูที่เกี่ยวข้องกับเหล่าเทพ เช่น พระวิษณุในร่างของมนุษย์และสัตว์ ที่ให้คำสัตย์ว่าจะทำหน้าที่เป็นผู้รักษาโลกมนุษย์ไว้ เพื่อให้หลุดพ้นจากการถูกทำลาย
เมื่อเขาเดินทางไปยังดินแดนที่ชาวนาวี่อาศัยอยู่ เขาก็ได้พบกับสัตว์ร้ายและถูกสัตว์ร้ายนั้นไล่ฆ่า กระทั่ง Jake พลัดหลงออกจากกลุ่ม ขณะนั้น Neytiri ก็ได้มาพบ Jake และตั้งใจที่จะเหนี่ยวคันธนูเพื่อหวังจะฆ่า เขาให้ตาย แต่ ณ ขณะนั้น ก็มีเมล็ดพันธุ์พิสุทธิ์ซึ่งถือเป็นพันธุ์ไม้ศักดิ์สิทธิ์ของชาวนาวี่ตกลงมาที่ปลายคันธนู ทำให้ Neytiri ตัดสินใจไม่ฆ่า Jake และพาเขาเข้าไปอยู่อาศัยในกลุ่มชาวนาวี่ เสมือนว่า Jake เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพื้นเมืองเคารพ ซึ่งก็กลายเป็นโอกาสดีที่ทำให้ Jake ได้ฝึกฝนการดำรงชีพแบบชาวพื้นเมืองไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้า เลือกนกประจำตัว และได้รับการยอมรับจากชนเผ่า กระทั่งเขารับรู้ได้ว่า ไม่มีสิ่งใดสามารถมาไล่ชาวนาวี่ให้ออกจากพื้นที่ได้ ทางบริษัทเหมืองแร่จึงตัดสินใจใช้กำลังขับไล่ชาวพื้นเมืองออกจากพื้นที่ โดยในเวลานั้น Jake ก็ตัดสินใจอยู่เคียงข้างชาวพื้นเมือง

Jake สามารถขับนกยักษ์ขนาดใหญ่ หรือสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่บินได้ในดินแดนแพนโทรา โดยในประวัติศาสตร์ของชาวนาวี่ ไม่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถขับนกดังกล่าวได้ ทั้งนี้ บุคคลที่จะสามารถขับนกยักษ์ขนาดใหญ่นี้ได้ ชาวนาวี่จะเรียกว่า “อีลุกมักโต” อันเป็นบุคคลที่ชาวนาวีให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่งในฐานะผู้รวบรวมชนเผ่าต่างๆ ของในดินแดนแพนโทรา เพื่อช่วยกันขับไล่เหล่า “คนจากฟ้า”พวกนี้ออกไป

ในช่วงแรกของการต่อสู้ ชาวพื้นเมืองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ด้วยสายสัมพันธ์ทางชีวภาพและจิตวิญญาณภายในดินแดนแพนโดราที่มีความติดต่อเชื่อมโยงกัน ได้ส่งต่อความรับรู้ระหว่างกัน ส่งผลให้ฝูงสัตว์ทั้งทางบกและอากาศมาร่วมกันขับไล่มนุษย์ออกจากดาวแพนโทรา กระทั่งมนุษย์พ่ายแพ้และถอนกำลังออกไป มีเพียงมนุษย์ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับการรับเลือกให้อยู่ต่อได้
III. Opening Pandora’s Box
สิ่งหนึ่งที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้ชมภาพยนตร์นั้นก็คือเทคนิคทางคอมพิวเตอร์ที่มีส่วนช่วยสร้างเสริมให้ภาพยนตร์มีความเหนือธรรมชาติ เทคโนโลยีใหม่ๆ เนรมิตให้ดินแดนแพนโดรากลายเป็นโลกเสมือนที่สุดแสนจะมีชีวิตชีวา โดย James Cameron ผู้เรียนเรื่องราวในภาพยนตร์และผู้กำกับการแสดงเล่าว่า ไอเดียที่ปรากฎในภาพยนตร์เกิดขึ้นในสมองของเขาตั้งแต่ 15 ปีก่อน แต่เขาเพิ่งตัดสินใจเริ่มสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ในปี 2005 เพราะต้องการรอให้เทคโนโลยีพัฒนา เพื่อให้ตัวละครที่ปรากฎมีความน่าตื่นตาตื่นใจ เช่น ภูมิประเทศที่ปรากฎในดินแดนแพนโดรา ภูเขาในป่าเขตร้อน และล้อมรอบสิ่งมีชีวิตพืชพันธุ์ต่างๆ ที่สุดแสนจะอุดมสมบรูณ์
แตกต่างจากความมืดทมึงของสิ่งปลูกสร้าง เสื้อผ้า เครื่องมือเครื่องใช้ รวมถึงยานพาหนะของบรรดามนุษย์โลก อีกทั้ง ชีวิตและสังคมของชาวนาวี่ดูจะมีความเป็นมนุษยธรรม รักความสงบ เป็นหนึ่งเดียวกัน มีจิตวิญญาณ และผสมกลมกลืนกับธรรมชาติมากกว่าเหล่ามนุษย์โลกที่บุกเข้ามาในดินแดนแพนโดรา อย่างไรก็ตาม เมื่อดินแดนของเขาถูกบุกรุก ชาวนาวี่ก็มีวิธีการในการต่อสู่กับการบุกรุกนั้น
Avatar ได้ดึงเอาจุดเน้นของภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ มารวมกันไว้ เช่น Emerald Forest, Last of his tribe ฯลฯ โดยในหลายๆ เรื่องข้างต้นนี้ได้พูดถึงสิ่งที่เรียกว่า “Spiritual Ecology” ที่แสดงให้เห็นเชื่อมโยงระหว่างนิเวศวิทยา ชนพื้นเมือง และธรรมชาติของพวกเขา เปิดเรื่องด้วยการฉายภาพให้เห็นถือความน่าอัศจรรย์ของป่าเขตร้อนที่อุดมสมบรูณ์ ภูเขาลอยฟ้าที่น่าตื่นตาตื่นใจ เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า และยานอาวกาศ เรื่องถลุงเหมืองแร่ ทหารรับจ้าง และกลุ่มชนพื้นเมือง ฯลฯ
สิ่งที่ถูกจัดวางในภาพยนตร์เรื่องนี้ กำลังทำหน้าที่วิพากษ์อาณาจักรอเมริกันที่เต็มไปด้วยความโลภ องค์กรธุรกิจ กองทัพ ทหารรับจ้าง การทำลายสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรม รวมถึงการบริโภคอย่างมหาศาล

แตกต่างจากชนพื้นเมืองอย่างชาวนาวี่ที่เน้นการขับเคลื่อนทางจิตวิญญาณและการมีชีวิตที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ผสมผสานระหว่างความเชื่อที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติมีพลังทางจิตวิญญาณ อันได้อก่ (1) animism ระบบเครือญาติ-บรรพบุรุษ ไปพร้อมกับการเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกล้วนแต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าดลบันดาลให้ และ (2) Pantheism เชื่อในเทพ หรือที่เรียกกันในกลุ่มนาวี่ว่า Eywa (the great mother) โดยเอวาจะเป็นต้นเค้าของพลังทางจิตวิญญาณของชาวนาวีในแพนโดรา ผ่านการเชื่อมโยงเครือข่ายของสรรพสิ่งทั้งหมดในดินแดนคล้ายกับสมองของมนุษย์ ชาวนาวีเชื่อว่าเอวา เป็นเทพเจ้าที่ช่วยรักษาสมดุลและความสมบรูณ์ของดินแดนเอาไว้ เช่น การเอาผมเปียของตนเชื่อมกับรากไม้/สัตว์พาหนะ อันเป็นวิธีการหนึ่งในการโยงตนเองเข้ากับข่ายใยของธรรมชาติ
James Cameron ผู้เขียนบทภาพยนตร์ ตระหนักดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกองทัพนิยมที่มีมาอย่างยาวนานของสหรัฐฯ รวมถึงการทราบดีว่า ในกองทัพของสหรัฐฯ จะมีหน่วยงานหนึ่งนั้นก็คือ เหล่านักสังคมศาสตร์ เพื่อทำหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลทางวัฒนธรรมและระบบการเมืองของคู่สงคราม
ทั้งนี้ ด้วยความยิ่งใหญ่ของหลุมแร่ในภาพยนตร์ชวนให้เห็นว่า มนุษย์ได้ทำลายล้างสิ่งแวดล้อมในจุดต่างๆ ของโลก เช่น การทำลายภูเขา Appalachia ซึ่งเป็นเทือกเขาหนึ่งในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนร่วมสมัยที่นายพล Dwight D. Eisenhower ในฐานะอดีตประธานาบดีสหรัฐฯ แสดงความกังวล ผ่านสุนทรพจน์กล่าวอำลาเกี่ยวกับความอันตรายของ Industrial Military Complex ที่แสดงให้ความต่อเนื่องขององค์กรต่างในสหรัฐฯ กับสังคมอุตสาหกรรมนอกสหรัฐฯ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
IV. ระดับความสมดุลเชิงนิเวศวิทยา (Degree of Ecological Equilibrium)
John W. Bennett นักมานุษยวิทยาด้านนิเวศวิทยา อธิบายเรื่องราวที่ปรากฏในภาพยนตร์ว่า ชาวนาวี่และกลุ่มที่เข้าไปยังดินแดนของพวกเขานั้น แสดงให้เห็นภาพแทนของสังคมที่มีความสมดุล (ความยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับความสมดุลและความเป็นหนึ่งเดียว เกิดขึ้นในสังคมที่ผู้คนสื่อสารกันในระดับเล็กๆ อยู่ร่วมกันด้วยความเชื่อ คุณค่า ทัศนคติ การจัดตั้งองค์กร ธรรมเนียม และการปฏิบัติ พึงพาทรัพยากรท้องถิ่นเพื่อความอยู่รอด) และไม่มีความสมดุล (ตรงกันข้าม)

สังคมอุตสาหกรรมร่วมสมัยช่วยยกระดับองค์กรทางสังคม-การเมือง ซึ่งทั้งหมดอยู่ถูกขับเคลื่อนโดยองค์กรตำรวจและทหาร เศรษฐกิจการตลาดที่ผูกโยงอยู่กับระบบทุนนิยม การขยายขอบเขตการควบคุมไปสู่ดินแดนที่ไกลออกไป เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยากรที่มาขึ้น และนำมาใช้ในการตอบสนองความต้องการของมนุษย์ อันก่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างความสมดุลและความไม่สมดุลซึ่งได้ถูกนำเสนอไว้ในภาพยนตร์ในฐานะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามอุปมาให้เห็นว่า ชาวยุโรปโดยเฉพาะอเมริกา ออสเตเรีย และประเทศอื่นๆ เป็นกลุ่มคนที่เข้าทำลายสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม และเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยลักษณะการกระทำของกลุ่มคนที่เข้าไปบุกแพนโดรานี้เหมาะสมที่จะเรียกว่า Hell’s gate
สิ่งสำคัญพื้นฐานที่แตกต่างระหว่างความสมดุลและความไม่สมดุลของสังคม คือ ความพอใจในสิ่งที่มี-ความละโมบ, จิตวิญญาณ-ข้าวของวัตถุ, Utopia-Dystopia หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กลุ่มชาวนาวี่มุ่งให้ความสำคัญที่ความจำเป็นพื้นฐาน และพลังทางจิวิญญาณที่สามารถพบได้ใน Utopia ขณะที่ มนุษย์โลกที่เข้ามาบุกรุกเป็นคนที่ยึดมั่นในเรื่องข้าวของนอกกาย และมีความละโมบโลภมากอันพบได้ในสังคมแบบ Dystopia ในส่วนนี้ได้แสดงให้เห็นถึงลักษณะของความเป็นขั่วตรงข้ามอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องราวที่ปรากฎจะดูเหมือนห่างไกลจากความเป็นจริง ดูแล้วออกจะเป็นแฟนตาซีไปซะหน่อย แต่ในอีกมุมหนึ่ง การแสดงให้เห็นถึงความเป็นขั่วตรงข้ามก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ สิ่งที่สื่อออกมาได้ชวนให้ผู้ชมคุ่นคิดถึงสิทธิของชนพื้นเมืองกับทรัพยากรในพื้นที่ของเขา ที่กำลังจะถูกกองทัพสหรัฐฯ จะเข้ามาพรากเอาไป บ้างก็แสดงให้เห็นว่าความพยายามที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวนาวี่ และการเผาทำลายพันธุ์พืชให้ดับสลายไป

แม้ว่าชาวนาวี่จะยังคงมีวิถีการดำรงชีวิตแบบชนเผ่า และไม่มีพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีที่ทัดเทียมกับกลุ่มที่เดินทางมาบุกรุก แต่ชาวนาวี่ก็มีพัฒนาการทางจิตวิญญาณและนิเวศวิทยาที่ซับซ้อนกว่า ขณะเดียวกันชาวนาวี่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญแต่เพียงความสมดุลทางเคมีฟิสิกส์เชิงชีวภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติในดินแดนแพนโดราเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับพลังทางจิตวิญญาณ และกระบวนการที่ประกอบด้วยพิธีกรรมในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ (sacred Place) เช่น Hometree, Tree of Soul, Tree of Voices, forest sprites และอื่นๆ โดย Hometree ถือเป็นพื้นที่ทางกายภาพและพื้นที่ทางจิตวิญญาณของเหล่าสกุลวงศ์ Omaticaya และอีกหลายสกุลวงศ์ของชาวนาวี่
Cameron พยายามฉายให้เห็นภาพชาวนาวีที่มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ เพราะเป็นการเชิญชวนให้ผู้ชมนำตัวเองไปเชื่อมโยงกับตัวละคร ชาวนาวี่ไม่ใช่อะไรที่แตกต่างแต่เป็นอีกสิ่งมีชีวิตหนึ่งในโลก ซึ่งกำลังแสดงความรู้สึกและมุมมองของเขาว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาต้องการและอยากให้เป็น
ชาวนาวี่มีอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เช่นเดียวกับมนุษย์ พวกเขามีความกล้าหาญและไม่เกรงกลัวต่อความตาย เพราะตระหนักดีว่าความตายเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นและต้องประสบ เนื่องจากความตายเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ
คำนึงเขาพูดในหนังว่า “พลังงานในร่างกายของเรา เป็นสิ่งที่ยืมมาจากธรรมชาติ” ดังนั้น ในที่สุดแล้ว “ทุกสรรพสิ่งจะต้องหวนคืนสู่ธรรมชาติ” ชาวนาวี่ตระหนักเสมอว่า “เมื่อเขาเป็นผู้ล่าได้ เขาก็ถูกล่าได้เช่นกัน”
V. James Cameron

Rebecca Keegan ผู้เขียนประวัติชีวิตของ James Cameron เปิดเผยว่า เขาเป็นผู้ที่มีความสนใจในเรื่องศาสนาและจิตวิญญาณเป็นพิเศษ ปัจจุบันเขาเรียกตนเองว่า Converted Agnostic โดย Cameron ปฏิเสธผู้ที่เชื่อว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้า และหวาดกลัวความคิดที่ว่าพระเจ้าไม่มีจริง ในวัยเด็กของเขาชื่นชอบการอยู่อาศัยบนต้นไม้ และสนใจติดตามสารคดีโลกใต้น้ำ ต่อมาในช่วงชีวิตหนึ่งเขาได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองแคริฟอร์เนีย อันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาตระหนักรู้ถึงผลกระทบของเทคโลโนยีที่มีต่อธรรมชาติอย่างยิ่ง นอกจากนี้ Cameron ยังเคยเข้าร่วมการประชุมด้านสิ่งแวดล้อม เช่น กรณีแท่นขุดเจาะน้ำมันที่อ่าวแม็กซิโก เป็นต้น
แหล่งที่มาเนื้อหา:
Leslie E. Sponsel. (2012). Avatar, Opening Pandora’s Box, James Cameron In Spiritual Ecology: A Quiet Revolution (1st ed.). pp. 137-147.
ขอบคุณ อ.ฉวีวรรณ ที่แนะนำให้รู้จักหนังสือเล่มนี้นะคะ
ตัวอย่างภาพยนตร์
[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=5PSNL1qE6VY[/embedyt]
เกี่ยวกับผู้เขียน
- This author does not have any more posts.