Skip to content

ช่างเขียนป้ายในตำนาน กับคติชนบ้านๆ ของกรรมกรอเมริกัน

       เช่นเดียวกับเรื่องเล่าทั่วๆ ไป “สแล็ปปี ฮูเปอร์ ช่างเขียนป้ายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ว่องไวที่สุด ผู้ยอดเยี่ยมที่สุดของที่สุดในโลก” (Slappy Hooper, World’s Biggest, Fastest, and Bestest Sign Painter) มีมากมายหลายแบบฉบับ มีจังหวะจะโคนการดำเนินเรื่อง และความมหัศจรรย์ต่างกันออกไป แต่ล้วนมีช่างเขียนป้ายชื่อ Slappy Hooper เป็นตัวเอกของเรื่องและมีองค์ประกอบต่างๆ ร่วมกัน  อาทิความ “ใหญ่” ของเขาไม่ใช่เพียงร่างกายที่ใหญ่ยักษ์ผิดมนุษย์ แต่เพราะท้องฟ้าคือป้ายที่เขาใช้เขียนตัวอักษร  เคล็ดลับของเขาคือการใช้ปืนใหญ่ยิงตะขอขึ้นไปเกี่ยวท้องฟ้าแล้วปีนขึ้นไปพร้อมชุดสีและพู่กัน  ในฉบับแรกที่มีการบันทึกมาตีพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษร  Slappy เคยเขียนตัวอักษรบนท้องฟ้าให้กับบริษัทรถไฟยาวตลอดสายการเดินรถ จนคนต้องแหงนหน้ามองตลอดทาง ทว่าต่อมาเขาต้องล้มเลิกการเขียนตัวหนังสือบนฟ้าไปเพราะมีเทคโนโนโลยีใหม่คือเครื่องบินพ่นควันมาเขียนตัวหนังสือแทน

       Slappy บอกว่าเครื่องบินที่ฉวัดเฉวียนทำให้เขาทำงานบนท้องฟ้าไม่ได้อีกต่อไป จึงต้องหันมาเขียนป้ายที่เน้นความ “สมจริงดุจมีชีวิต” (true to life) แทน ทว่าผลงานของเขามัก “ดีเกินไป” จนก่อให้เกิดความวุ่นวายตามมาเสมอ  ในแต่ละฉบับมีรายละเอียดต่างกันออกไปตามจินตนาการของผู้เล่า เช่น ป้ายร้านขายดอกไม้ของเขาสมจริงกระทั่งผึ้งมารุมตอมจนลูกค้าไม่กล้าเข้าร้าน  ป้ายโฆษณาเตาไฟร้อนจนทำบ้านตรงข้ามไฟไหม้  นกอินทรีบนผนังที่ทำการไปรษณีย์ก็มีชีวิตขึ้นมากระพือปีกจนตึกพัง   เด็กชายในฉบับ 1946 เห็นป้ายขนมปังแล้วถึงกับต้องรีบวิ่งกลับบ้านไปกินขนมปัง  ส่วนป้ายโฆษณาบริษัททัวร์รูปชายหาดในฉบับ 1993 ทำเอาหิมะละลาย และคนต่างพากันมานอนอาบแดดจนกีดขวางการจราจรวุ่นวายไปทั้งเมือง  แม้จะฟังดูเป็นนิยาย แต่โฆษณาก็อาจส่งผลเช่นนี้ได้จริงๆ

       ในสารคดีที่สำรวจการมองของผู้คน Way of Seeing (1972) John Berger อธิบายว่าองค์ประกอบของภาพโฆษณาแทบไม่ได้ต่างไปภาพวาดสีน้ำมันในอดีตเลย  สิ่งที่ต่างไปคือวิธีที่คนมองภาพเหล่านี้ ในขณะที่ภาพวาดสีน้ำมันอยู่ในกรอบทองประดับบ้าน เพื่อสะท้อนความเป็นจริงของชีวิตอันหรูหราของคนรวย  แต่ภาพโฆษณา (publicity) อยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่มีสิ่งเหล่านั้น  ความอิจฉาทำให้เกิด “ความเย้ายวน” (glamour) ที่เกิดขึ้นกระทั่งกับตัวเราเอง ในขณะที่นั่งจมจ่อมอยู่กับงานอันแสนน่าเบื่อ เราก็จินตนาการไปถึงตัวเองในชุดสวยบนชายหาด  ภาพวาดของจิตรกรจึงไม่อาจ “ดีเกินไป” ในขณะที่ป้ายโฆษณาเพื่อการพาณิชย์ของช่างเขียนป้าย  อาจกลายเป็นสิ่งชั่วร้าย เป็นภัยพิบัติที่มอมเมาผู้คนได้

       แม้ Slappy จะถูกให้ภาพราวกับเป็นพระเจ้า เป็นชายร่างใหญ่ยักษ์ที่เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่เขาอาจไม่ใช่ตัวแทนของนักโฆษณา การตลาด หรืออะไรก็ตามที่ขับเคลื่อนทุนนิยม เพราะถึงที่สุดแล้วทุกฝ่ายก็เสียหายกันหมด ทั้งตัว Slappy เองและเจ้าของธุรกิจ  ปมของเรื่องนี้คือความขัดแย้งระหว่างพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่กับงานของเขาเอง  ซึ่งในฉบับนิทานภาพปี 1946 กับปี 1993 คลี่คลายปมนี้ไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ฉบับปี 1946 เรียบเรียบจากบันทึกของ Jack Conroy ในปี 1944
ฉบับปี 1993 โดย Aaron Shepard

 

       ในฉบับปี 1946  Slappy เป็นเหมือนเทวดาตกสวรรค์ เริ่มจากการทำงานบนท้องฟ้า ก่อนจะลดตัวลงมาเขียนป้ายธรรมดา และล้มเลิกการเป็นช่างเขียนป้ายไปในที่สุด1  ในฉบับนี้เขามีศัตรูตัวฉกาจคือการผลิตแบบอุตสาหกรรม  เขาพอใจกับการเป็นนายของตัวเอง ที่ไม่ต้องทำงาน “public works” เป็นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่ถูกล่ามไว้กับตารางเวลา (1944, Conroy: 548)  นอกจากเครื่องบินพ่นควัน (skywriting) แล้ว ก็ยังมีพวกคนเขียนป้ายอ่อนหัด (green hand) ที่อาศัยแบบร่างเจาะรู (pounce) มาแย่งงานเขียนป้ายของเขาด้วย  Slappy บอกว่าพวกนี้ไม่สามารถกระทั่งเขียนหัวของตัวไอ (i) ให้กลมได้หากไม่มีเครื่องมือช่วย ในขณะที่ช่างเขียนป้ายมือเก๋าใช้เพียงพู่กันกับมือที่ฝึกจนชำนาญ   ชายชราในเรื่องเล่าฉบับนี้กล่าวกับเด็กชายว่า

“ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว คนเดี๋ยวนี้ไม่ชื่นชมคนอย่าง Slappy อีกต่อไป ต้องโทษสิ่งประดิษฐ์อย่างเครื่องบินพ่นควัน และแบบตัวอักษรสำเร็จรูป ที่ทำให้คนเลิกให้ความสำคัญกับช่างเขียนป้ายที่ใช้ร่างกายทำงาน” (Conroy, 1946)

ช่างเขียนป้ายมือใหม่ใช้วิธีถ่ายแบบ โดยเจาะรูที่กระดาษ หรือใช้ตัวอักษรสำเร็จรูปทาบบนพื้นผิวที่จะเขียน แล้วตบด้วยผงชอล์ค จนบางทีเนื้อตัวขาวโพลนไปด้วยฝุ่นชอล์ค (จาก Slappy Hooper ฉบับปี 1946)
Pounce Wheel ลักษณะเป็นเฟืองแหลมมีด้ามจับ ใช้ลากเจาะรูเป็นแนวตามแบบที่ร่างเอาไว้ แล้วจึงนำถุงบรรจุผงสี (pounce bag) ตบลงไปเพื่อถ่ายแบบจากกระดาษ จากนั้นจึงใช้พู่กันลงสีตามโครงร่าง

 

 

 

       Slappy ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ (freelance) อยู่ได้เพราะเขามีฝีมือเป็นเครื่องต่อรอง ในขณะที่เทคโนโลยีใหม่ทำให้ช่างเขียนป้ายกลายเป็นเพียงแรงงานด้อยทักษะที่ไร้อำนาจต่อรอง  แต่การผลิตแบบอุตสาหกรรมนี้ก็ทำให้ความเป็นช่างฝีมือ (craftsmanship) ไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป   สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Slappy คือความแปลกแยก (alienation) ของเขาต่องานที่เขารัก  ตลอดทั้งเรื่อง Slappy มักกล่าวอย่างภูมิใจว่างานที่เขาเพิ่งทำเสร็จคือ “ป้ายที่ดีที่สุดที่เขาเคยทำมา” ไม่ใช่เพราะคนชื่นชมหรือทำให้ยอดขายสินค้าเพิ่ม แต่เขาเพราะเขาพอใจในผลงานของตัวเอง ความมุ่งมาดที่จะทำงานให้ดีเพียงเพื่อทำให้มันดี (the desire to do a job well for its own sake) คือแรงขับเคลื่อนพื้นฐานของงานฝีมือทุกชนิด (Sennet, 2008) และ Slappy มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม  ผลร้ายที่ตามมาจึงทำเขาใจสลาย

       รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับวิกฤตของงานช่างฝีมือเหล่านี้หายไปจากเวอชั่นปี 1993 ในฉบับที่สองนี้ Slappy เริ่มจากงานเขียนป้ายเล็กๆ ก่อนจะเขียนป้ายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าความวุ่นวายก็ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย  กระทั่งในที่สุดเขาตัดสินใจจะโยนกล่องเครื่องมือทิ้งน้ำไปเสีย แต่แล้วก็มีช่างป้ายเทวดาจากบริษัทป้ายสวรรค์ (Heavenly Sign Company) มาห้ามเอาไว้ แล้วทาบทามให้ไปทำงานที่เหมาะสมกับความสามารถของเขาแทน  Slappy จึงได้เริ่มขึ้นไปบนฟ้าวาดรุ้งกินน้ำ และได้ทำงานบนท้องฟ้าไปทั่วโลก เป็นตอนจบที่งดงาม  ฉบับปี 1993 นี้เป็นเรื่องของศิลปินที่หันหลังให้กับงานเชิงพาณิชย์แล้วอุทิศตนให้กับศิลปะ

       อะไรกันทำให้ตำนานเดียวกันคลี่คลายไปคนละทิศละทางได้ขนาดนี้ ?  นั่นอาจเป็นเพราะบริบทของการเล่า

       ทศวรรษ 1930 เป็นช่วงเวลาที่ยากแค้นของชาวอเมริกัน  ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (great depression) ส่งผลให้อัตราการว่างงานพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์  ศูนย์แจกจ่ายอาหารหรือ “Soup Kitchen” ซึ่งส่วนมากเสิร์ฟเพียงซุปกับขนมปังเนืองแน่นไปด้วยอดีตคนงานก่อสร้าง ทำเหมือง ป่าไม้ โรงงาน ไปจนถึงศิลปินและนักเขียนซึ่งไม่มีทีท่าจะหางานใหม่ได้เลย  อีกคนที่พลอยตกงานไปด้วยก็คือประธานาธิบดี Herbert Hoover ที่พ่ายการเลือกตั้งให้กับ Franklin D. Roosevelt อย่างราบคาบในปี 1932   นโยบาย “New Deal” ของรัฐบาลใหม่ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่ยังกอบกู้ศักดิ์ศรีของคนงานด้วยการก่อตั้งสำนักผลักดันงาน (Works Progress Administration) ที่มุ่งคืนแรงงานกลับสู่ตลาดแทนการอุดหนุนวิธีอื่น (Leighninger, 1996) ยิ่งไปกว่านั้น การจ้างงานของ WPA ยังสร้างต้นทุนทางวัฒนธรรมให้กับชาวอเมริกันสืบต่อมาด้วย

คนตกงานต่อคิวรอรับแจกอาหารที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา ปี 1931

       โครงการของ WPA มักเป็นการก่อสร้างขนาดใหญ่ อาทิ ถนน รางรถไฟ เขื่อน (ซึ่งก็คืองานที่เรียกว่า “public works” นั่นเอง) ซึ่งสร้างการจ้างงานแรงงานไร้ทักษะได้ทีละมากๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีโครงการกลุ่มที่สนับสนุนการจ้างงานศิลปิน นักดนตรี นักแสดงด้วย โครงการนักเขียนของรัฐบาลกลาง (Federal Writers’ Project) หรือ FWP เป็นหนึ่งในโครงการเหล่านี้ที่สร้างผลงานน่าประทับใจมากมาย เช่น American Guide Series หนังสือชุดแนะนำรัฐต่างๆ ที่รวบรวมข้อมูลประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรมของเกือบทุกรัฐในอเมริกา (ยกเว้นฮาวาย) และโครงการรวบรวมคติชน (folklore) ที่ส่งคนออกไปเก็บบันทึกเรื่องเล่า ตำนาน บทเพลงร่วมสมัยของชาวอเมริกันอย่างกว้างขวาง เริ่มต้นในปี 1938 นำมาตีพิมพ์เป็นเล่มในชื่อ A Treasury of American Folklore (1944) ซึ่งมีออกมาอีกหลายเล่มจนถึงทศวรรษ 1960

       เมื่อพูดถึงคติชนวิทยาฝั่งอเมริกา เชื่อว่าส่วนมากจะต้องนึกถึงชื่อ Franz Boas บิดาแห่งมานุษยวิทยาอเมริกันผู้เชี่ยวชาญภาษาเอสกิโม รวมถึงสานุศิษย์ของเขา อาทิ Alfred L. Kroeber หรือ Edward Sapir ที่บุกป่าฝ่าดงไปเก็บรวบรวมข้อมูลภาษาของชาวอเมริกันพื้นเมืองไว้มากมาย  แต่เชื่อว่านักเรียนมานุษยวิทยาส่วนใหญ่จะไม่คุ้นชื่อ Benjamin A. Botkin ผู้บริหาร FWP  บรรณาธิการซีรีย์หนังสือ A Treasury of American Folklore ผู้ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมคติชนอเมริกัน (American Folklore Society) ในช่วงปี 1942-1944 และได้รับยกย่องให้เป็นบิดาแห่ง “คติชนสาธารณะ” (public folklore) หรือ “คติชนประยุกต์” (applied folklore) (Little, 2017: 8)

       ในขณะที่การศึกษาคติชนในขณะนั้นมีแนวโน้มที่จะใช้ไปเพื่อการศึกษาวัฒนธรรมในที่ห่างไกล  ไกลออกไปในชนบทป่าเขา และไกลออกไปในอดีตที่ล่วงมาแล้ว  Botkin มองว่าคติชนควรหันมาสนใจคนปัจจุบัน คนในเมือง คนในบริบทที่กำลังเปลี่ยนแปลง เพื่อผลักดันวัฒนธรรมประชาธิปไตยผ่านการแบ่งปันประสบการณ์สภาพชีวิตของคนที่หลากหลาย ทั้งคนดำ อดีตทาส กรรมกร พนักงานโรงงาน ฯลฯ   คติชนของเขารับใช้สังคมในปัจจุบันและมุ่งสร้างอนาคต มากกว่าการสร้างความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับอดีต ซึ่งทำให้เขาถูกโจมตีจากทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม และนักวิชาการ ถึงขั้นถูกปรามาสว่างานของเขาเป็น “fakelore” เสียมากกว่า (Little, 2017: 7-8)  แต่หากย้อนกลับไปพิจารณาดูเรื่องของ Slappy Hooper ฉบับแรกในปี 1944 จะเห็นว่าการทำงานคติชนสามารถแสดงให้เห็นสิ่งที่ละเอียดลออ และแตกต่างออกไปจากแนวการศึกษาแบบอื่นๆ ได้มากทีเดียว   ความแปลกแยกของ Slappy แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในอุตสาหกรรมโฆษณาที่นีโอมาร์กซิสม์ (Neo-Marxism) วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเครื่องมือของการครอบงำ ก็มีเรื่องราวของการดิ้นรนของแรงงานอยู่ในนั้น  และในขณะที่การศึกษาสังคมวิทยาเมือง (urban sociology) กำลังเริ่มต้นขึ้นที่ชิคาโกในช่วงเวลาเดียวกัน จนกลายเป็น “สำนักชิคาโก” (Chicago) ในเวลาต่อมา แต่นักสังคมวิทยาเมืองกลุ่มนี้ก็ไม่ได้สนใจรายละเอียดอย่างเรื่องเล่าเหล่านี้

 


 ในขณะที่การศึกษาคติชนในขณะนั้นมีแนวโน้มที่จะใช้ไปเพื่อการศึกษาวัฒนธรรมในที่ห่างไกล  ไกลออกไปในชนบทป่าเขา และไกลออกไปในอดีตที่ล่วงมาแล้ว  Botkin มองว่าคติชนควรหันมาสนใจคนปัจจุบัน คนในเมือง คนในบริบทที่กำลังเปลี่ยนแปลง เพื่อผลักดันวัฒนธรรมประชาธิปไตยผ่านการแบ่งปันประสบการณ์สภาพชีวิตของคนที่หลากหลาย


 

       โครงการตีพิมพ์หนังสือของ FWP ใต้การบริหารของ Botkin ดึงดูดนักเขียนฝ่ายซ้ายเข้ามาร่วมงานหลายต่อหลายคน หนึ่งในนั้นคือ Jack Conroy นักเขียนซึ่งงานของเขาถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มวรรณกรรมเพื่อกรรมาชีพ (proletariat literature)  โดยนิยายทั้งสองเรื่องของเขาเขียนในขณะที่ทำงานเป็นกรรมกรไปด้วย   Conroy เดินทางมายังชิคาโกในปี 1938 เพื่อมาทำงานให้โครงการของ FWP สาขาอิลลินอยส์  เขาเก็บรวบรวมเรื่องเล่า ตำนาน บทเพลง  จากแรงงานในเมืองชิคาโก (รวมถึงเรื่อง Slappy Hooper ช่างเขียนป้ายในตำนานนี้ด้วย) ออกมาเป็นสิ่งที่เขาเรียกว่า “คติชนสังคมอุตสาหกรรม” (Industrial Folklore)  ด้วยเหตุนี้แม้ว่าตำนานของ Slappy Hooper อาจมีหลายฉบับมากกว่านี้ แต่ Conroy เลือกมาเพียง 2 ฉบับที่เขาอ้างว่ามีความเป็นตัวแทนที่สุด ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่าเวอชั่นนี้เป็นที่นิยมมากที่สุดในช่วงเวลานั้น  แล้วตำนานนี้ก็เดินทางไปตามกาลเวลาจนกลายมาเป็นฉบับปี 1993 ในที่สุด  ซึ่ง Botkin จะอธิบายว่า เรื่องเล่าย่อมเปลี่ยนแปลงไปเพื่อรับใช้สังคมในช่วงเวลาของมัน

       ตำนานของ Slappy Hooper ช่างเขียนป้ายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ว่องไวที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุดของที่สุดในโลก  รวมถึงเรื่องอื่นๆ ในชุด Chicago Industrial Folklore ของ Conroy ได้รับความนิยมอย่างมาก ถึงขั้นถูกพูดถึงในบทนำของ A Treasury of American Folklore ฉบับตีพิมพ์ซ้ำ อยู่เนืองๆ (Sandburg, 1964) จากเรื่องเล่าทั้งหมดกว่า 500 เรื่องในเล่ม   ด้วยความเหมาะเจาะหลายๆ อย่าง สภาพเศรษฐกิจตกต่ำ  รัฐบาลที่พลิกขั้ว2 มาเป็นพรรค Democrat กับนโยบายนิวดีล  Botkin และ Conroy จึงได้มีโอกาสสร้างผลงานที่ทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมให้กับอเมริกาที่กำลังล้มลุกคลุกคลานกลับขึ้นมายืนใหม่  แม้จะเป็นงานคติชนแบบบ้านๆ ไม่วิชาการ แต่ก็ทำให้เรื่องราวที่เปี่ยมชีวิตชีวาของกรรมกรอเมริกันได้รับการจดจำเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นอเมริกันยุคใหม่ เป็นหลักฐานว่าประเทศสหรัฐอเมริกา (ที่ไม่ว่าตอนนี้จะเป็นอะไรไปแล้วไม่รู้) สร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของใครบ้าง

 


1 ในต้นฉบับ A Treasury of American Folklore (1944) Slappy โยนกุญแจทิ้งไปเลย  แต่ในฉบับนิทานภาพปี 1946 Conroy เรียบเรียงตำนานนี้ใหม่ โดยสร้างตัวละครเด็กชายชื่อ Frank ขึ้นมาเป็นตัวเดินเรื่อง เป็นคนที่ทำให้ Slappy เปลี่ยนใจไม่โยนกุญแจทิ้ง และยังมอบพู่กันไว้ให้เด็กชายเป็นของที่ระลึกก่อนจะออกเดินทางเพื่อหางานเขียนป้ายต่อไป

2 นอกจากผลกระทบต่อการเมืองอเมริกาแล้ว great depression ยังกระทบไปทั่วโลก รวมไปจนถึงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสยามที่นำไปสู่การอภิวัฒน์ 2475 ด้วย


 

อ้างอิง

  • Bontemps, A., & Conroy, J. (1946). Slappy Hooper, the Wonderful Sign Painter (1st edition). Houghton Mifflin.
  • Botkin, B. A. (1944). A treasury of American folklore: stories, ballads, and traditions of the people. Crown Publishers.
  • Leighninger, R. D. (1996). Cultural Infrastructure: The Legacy of New Deal Public Space. Journal of Architectural Education (1984-), 49(4), 226–236. https://doi.org/10.2307/1425295
  • Little, K. (2017). Living Lore: B. A. Botkin, Folklore, and the State. Dissertations, Theses, and Student Research: Department of English. Retrieved from https://digitalcommons.unl.edu/englishdiss/133
  • Sennett, R. (2009). The Craftsman (1 edition). New Haven: Yale University Press.
  • Shepard, A. (1993). The Legend of Slappy Hooper: An American Tall Tale (1st edition). New York : Toronto : New York: Atheneum.

 

Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Inline Feedbacks
ดูทั้งหมด

เรื่องที่คล้ายกัน